วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จริงหรือ?

อำนาจเป็นใหญ่ในโลก..ถูกแล้วอำนาจเป็นใหญ่ในโลกผู้มีอำนาจย่อมพูดเสียงดังได้เสมอ เมื่อผู้มีอำนาจพูดผู้ด้อยอำนาจก็ต้องฟังจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ต้องฟังผู้มีอำนาจเมื่อไม่ใช้อำนาจแล้วเขาจะใช้อะไร บางคนใช้เงินเป็นอำนาจกดขี่ข่มเหงผู้มีเงินน้อย ซึ่งยอมตนเข้ามาพึ่งพาบารมี มนุษย์ประเภทนี้กระหึ่มครึมครางเสมอว่า "ฉันใช้เงินของฉัน ฉันไม่ได้ใช้คน” เขาจึงใช้คนอย่างไร้ความปราณีเพราะมั่นใจอยู่ว่าเขามิได้ใช้คนซึ่งมีเลือดเนื้อและชีวิตจิตใจ แต่เขาใช้เงินต่างหากเล่าส่วนสตรีมีความงามเป็นอำนาจบังคับขู่เข็ญให้มนุษย์ผู้ชายคอยสยบลงแทบเท้าของเธอเองเศรษฐีมีเงินเป็นอำนาจ ข้าราชการมีตำแหน่งเป็นอำนาจแต่อย่างไรก็ตาม ข้อแตกต่างมีอยู่ว่าใครจะใช้อำนาจได้ถูกต้องหรือใช้โดยไม่ถูกต้องเท่านั้นเองและสิ่งเหล่านี้ก็จะกลับมาหาเขาเหมือนเดิม มาทำลายหรือส่งเสริมอำนาจของเขาให้ดีขึ้น หรือสูญสิ้นไปก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเท่านั้น

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ใครเล่าจะมาจริงใจเท่าตัวเราเอง

เมื่อโชคร้ายย่างกรายเข้ามาในชีวิตเรา อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะขัดข้องไปหมด คนที่เคยรักก็คลายรัก คนที่เคยภักดีก็หนีห่าง เจ้าหนี้ก็ย่างกรายเข้ามาอย่างไร้ปราณี มนุษย์ส่วนมากมุ่งมองแต่กระทำในสิ่งอันจะเป็นประโยชน์แก่ตนในปัจจุบัน และเล็งผลเลิศในอนาคต กาลใดไร้เสียซึ่งผลประโยชน์แก่ตนดังกล่าว แม้จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมเพียงไร ก็จะมีใครเล่าสมัครใจทำ ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้มนุษย์ขัดใจกัน จองเวร เข่นฆ่า ฟัน ทำลายกันไปยิ่งกว่าเรื่องผลประโยชน์ที่ขัดกันหรอกครับผม…

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สุขแบบทรมาน

ภายในห้องสี่เหลี่ยมของมุมหนึ่งในเมืองกรุง ซึ่งเรียกว่าศรีวิไล แสงไฟสลัวบ้าง สว่างบ้าง จากเพดานสีขาดอันบริสุทธิ์ สะอาด ไร้ลวดลาย มีสิ่งประดับบ้างเล็กน้อย ตามความเหมาะสม ความงาม และรสนิยมของเจ้าของห้อง แสงสว่างได้สาดส่องให้เห็นใบหน้าของบุคคลสี่คน ที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ความคร่ำเครียด ความคิดที่จะทำงานให้เสร็จ กับเกมที่บอกว่า คลายเครียด แต่พวกเขาหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ยิ่งดูกลับยิ่งคร่ำเครียดขึ้น จนแสดงออกมาทางใบหน้าอย่างไม่รู้สึกตัว เนื่องจากนั่งมาตั้งแต่เทียงวันจนถึงเที่ยงคืน ซึ่งสีหน้าก็ได้เปลี่ยนไปบ้าง อย่างไรก็ตาม แม้ใบหน้าจะดูจืดไปบ้าง แต่ก็ยังมีแววแห่งความงามเหลืออยู่มิใช่น้อย นานๆ ครั้งจะเห็นแต่ละคนทอดสายตามองหน้ากันและกันเพื่อให้กำลังใจ แต่ข้าพเจ้าเห็นแล้ว สบตาแล้ว ถอนหายใจลึก ๆ มีอาการตรองอย่างลึกซึ้งถึงคำที่ว่า “คนรักกัน ย่อมรู้ใจคนที่จะรักได้ โดยไม่จำเป็นต้องบอก เพราะคนรักกันเรียนรู้ ที่จะเข้าใจกันอย่างเงียบๆ และง่ายๆ แค่สายตาที่มองสบกัน เท่านี้ก็เพียงพอ” คืนนี้ แม้จะเป็นเกมที่ทรมาน แต่ก็เบิกบานในทางจิตใจ จะสุขจะทุกข์ยังไงก็ขอให้ มีใครสักคนที่เข้าใจเราคอยเคียงข้างเท่านี้ก็พอเพียงแล้ว…คุณว่าจริงไหม?

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไม่เห็นโลกศพไม่หลั่งน้ำตา

ท่ามกลางโลกกำลังริบหรี่ สังคมกำลังแย่ แสงเทียนกำลังจะดับ ข้าวยากหมากแพง เงินทองหายาก โจรผู้ร้ายซุกชุม เหล่ามนุษย์ที่เรียกตัวเองว่า “สัตว์ประเสริฐ” ก็หาได้รู้สึกตัวไม่ ยังคงแก่งแย่งแข่งดีกัน แยกสีแยกขั่ว แยกพรรคแยกฝ่าย โยนความผิดให้แก่กันและกัน เบียดเบียน เข่นฆ่าจองเวร ข่มแหงรังแกกันและกันอยู่อีก แทนที่จะหันหน้าเข้าหากัน สามัคคีปรองดองกัน เพื่อให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ฟันฝ่าอุปสรรค ต่อสู้กับความวิกฤติเหล่านี้ แสวงหาแสงสว่างเตรียมเทียน ฟืน ไฟ ก่อนที่ความมืดจะย่างกรายเข้ามาปกคลุมมากไปกว่านี้ หรือว่าพวกเขาอยากเห็นความวินาศวอดวายของตัวเองแบบไม่มีทางแก้ไขอย่างนั้นดอกหรือ…

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คุณสมบัติ

ผู้หญิงต้องมีความละอายเป็นนิสัย รู้จักรักนวลสงวนตัว จึงจะมีค่า เหมือนโบราณว่า “ผู้ครองเรือน (คฤหัสถ์) เกียจคร้านไม่ดี สมณะไม่สำรวมไม่ดี ผู้ใหญ่ทำการงานโดยไม่ใคร่ครวญอย่างรอบคอบไม่ดี สตรีไม่มีความละอายไม่ดี โสเภณีมีแต่ความขี้อายก็ไม่ดี” นี่คือคุณสมบัติ หรือธรรมชาติของความจริงที่เราจะว่าให้เขาไม่ได้ เมื่อเขาแสดงอาการเหล่านี้ออกมานะครับ…

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ต้องเป็นเองถึงจะเข้าใจ

ลูกๆ มักจะไม่ค่อยรู้ว่า ความห่วงใยต่อพวกเขานั้นก่อความทุกข์ทรมานแก่พ่อแม่เพียงไร จะมีอะไรอีกเล่าในโลกนี้ ที่พ่อแม่จะรักและห่วงใยเท่ากับลูกๆ มนุษย์เรามีนิสัยรักและถนอมสิ่งที่สร้างขึ้นเอง ทำเอง คอยดูความเจริญเติบโตมาแต่เริ่มต้น ลูกเป็นสมบัติชั้นเยี่ยมที่พ่อแม่ได้สร้างขึ้น ท่านจึงรักและหวงแหนเท่าชีวิต หรือยิ่งกว่า แต่ลูกหาได้รู้ความจริงข้อนี้อย่างแจ่มแจ้งไม่ จนกว่าสักวันหนึ่งที่พวกเขาต้องอยู่ในภาวะเป็นพ่อ เป็นแม่เอง เมื่อนั้นแหละ พวกเขาจึงได้รับความรู้โดยตรง (Direct Experience) และเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ความรัก ความห่วงใย ของบิดามารดาเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านว่าอย่างผมไหมหนอ…?…

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ยุคประหยัด

ยุคประหยัดนี้ แม้แต่หัวใจของเรา เราก็ต้องประหยัด จะมอบให้ใครง่าย ๆ หรือแจกจ่ายอย่างฟุ่มเฟือยไม่ได้ หัวใจก็มีเวลาหมดเหมือนกัน ข้าพเจ้าหมายความว่า มันหมดคุณภาพ (Quality) และประสิทธิภาพ ที่เป็นหัวใจเข้มแข็ง ดีงามอีกต่อไป เพราะข้าพเจ้ามองว่า จิตใจคนเราก็มีคุณภาพคล้ายกับกระดาษทิชซู่ หรือกระดาษซับ ถ้ามันซับเอาความผิดหวัง ความเสียใจไว้มาก ๆ มันก็ทนไม่ไหว หมดคุณภาพที่จะซับอีกต่อไป การหวังแล้วผิดหวัง หวังแล้วผิดหวัง ต่อไปเรื่อย ๆ รับรองหัวใจก็ทนต่อความบอบซ้ำไม่ไหว ไม่งั้นคงไม่มีการฆ่าตัวตายเพราะความเจ็บซ้ำหรอกนะครับ ก็เนื่องจากสาเหตุที่คุณไม่ประหยัดนี่เองครับผม…