"ความเป็นอัจฉริยะ" เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้กับคนเราทุกคน แต่จะมีความแตกต่างกันไป เว้นเสียแต่ว่าจะค้นพบได้เร็วหรือนำไปใช้ในทางถูกต้องได้อย่างไร....ถ้าคนไหนคนพบได้เร็ว ย่อมมีความเป็นไปได้ง่ายมากที่จะประสบความสำเร็จในด้านนั้นๆ และเป้นประโยชน์กับตัวเองและสังคมอย่างมาก.....เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หรือผู้ใหญ่ในด้านการศึกษาต้องเข้าใจในความเป็นจริงในจุดนี้ และยอมรับในหลักข้อนี้ เพราะจะทำให้ท่านส่งเสริม สนับสนุน และสร้างเวทีไว้สำหรับบุคคลเหล่านั้นได้แสดงความเป็นอัจฉริยะของตนเองออกมา...ข้าพเจ้าในฐานะเป็นครู หรือบุคคลที่คนเขายกย่องว่า "แม่พิมพ์" ย่อมรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก เมื่อผู้ใหญ่เหล่านั้นมักจะพูดว่า "เด็กมันโง่ หรือ เด็กนั้นไม่มีความสามารถ" เพราะสิ่งนี้ทำให้มองเห็นถึงวิสัยทัศน์ ความรู้ และการมองโลกตามความเป็นจริง ที่สำคัญย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพัฒนาได้ประสบความสำเร็จ อย่างมากก็จะพัมนาเฉพาะคนที่เก่งเท่านั้น หรือเก็บเอาเฉพาะหัวกะทิไปเป็นจุดขาย หรือหน้าตาสำหรับตัวเองแล้วพูดอย่างภูมิใจว่าข้าพเจ้าทำได้ ซึ่งตามจริงแล้ว หน้าที่ของท่านคือ ส่งเสริม สนับสนุน สร้างเวทีให้นะครับ....เมื่อเป็นเช่นนี้ สำหรับข้าพเจ้าแล้วมองว่า "ที่เด็กไม่เก่ง เพียงเพราะเด็กคนนั้นยังไม่ค้นพบตัวเอง และนำความรู้ไปใช้ในทางไม่ถูกต้องเท่านั้น" ดังนั้น เราควรที่จะมากระตุ้น สร้างเวทีสำหรับเด็กๆ เหล่านั้น ให้ค้นพบตัวเองให้เร็วขึ้น เพื่อลูกหลาน และประเทศไทยเราจะได้พัฒนานะครับผม...
วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553
ทวนกระแส
“ทวนกระแส” คำนี้มักจะเป็นคำที่น่ายกย่อง ที่ดีสำหรับคนที่พยายามจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าใครคนไหนที่ประพฤติตัวทวนกระแสของสังคมแล้วมักจะประสบความสำเร็จ แต่ขอเน้นย้ำในทางที่ดีนะครับ เช่น คนไหนที่ทวนกระแสของกิเลส ก็มักประสบกับธรรมที่แท้จริง คนไหนที่ทวนกระแสความเกียจคร้าน ก็มักจะประสบความสำเร็จ คือความร่ำรวย คนไหนที่ทวนกระแสความฟุ่มเฟือย มักจะเป็นเศรษฐีในไม่ช้า แต่คนไหนที่พยายามทวนกระแสโดยไม่พยายามดูกาละเทศะแล้ว คุณพ่อเจ้าเอ๋ย คนนั้นถ้าสังคมไม่เรียกว่าบ้า ก็มักจะฉิบหายเองนั่นแหละและการทวนกระแสอีกแบบหนึ่ง คือ พวกทวนกระแสสังคมที่เขาพยายามพัฒนาขึ้น เช่น คนที่ทวนกระแสคนไม่ดื่มสุรา ด้วยการดื่มสุรารับรองว่าไม่นานเขาจะฉิบหาไป คนที่ทวนกระแสคนขยัน โดยการเกียจคร้าน รับรองไม่นานคนนั้นจะฉิบหายได้ เป็นต้น....ในเมื่อเป็นแบบนี้ การทวนกระแสก็ควรจะดูกาละเทศะ และต้องทวนกระแสในสิ่งที่ไม่ดีเท่านั้น ถึงจะประสบความสำเร็จ เราควรมอง และจับเอาเฉพาะในสิ่งที่ดีเท่านั้น แต่บางทีการทวนกระแสของฤดูกาลก็มีส่วนช่วยได้บ้าง เช่น เราควรจะชื้อเสื้อกันหนาวในฤดูร้อน หรือ ฤดูฝน ชื้อร่มในฤดูหนาว ซื้อเสื้อกันฝนเวลาร้อน หรือเวลาหนาว ก็คงจะได้ราคาที่ถูก หรือไม่แน่อาจจะแพงกว่าปกติก็ได้ แต่ทำไมตัวเองต้องมาตามสังคมด้วยการชื้อในฤดูนั้นๆ ด้วยนะ ...ต่อไปนี้จุงกะเอ๋ย จงทำอะไรให้ทวนกระแสบ้างนะตัวเอง เพราะว่ามันจะทำให้ตัวเองได้ของดี ราคาถูก และไม่จำเป็นต้องตามกระแสสังคมหรอกนะ...ว้า! แต่การทวนกระแสอีกแบบหนึ่ง คือ คิดถึงคนที่เขาอยู่ไกลๆ มีคนอื่นอยู่ข้างๆ อะไรแบบนี้ มันจะประสบความสำเร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถามหน่อยชิครับคุณๆ ทั้งหลาย
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553
ใครบ้างเข้าใจความจริง
ไฟใกล้สิ้นเชื้อ เรือใกล้อับปราง น้องนางใกล้ลาจาก ตัวข้าใกล้ม้วยมรณ์ มันจะเหลือคุณค่าอะไรเป็นที่หวังในอนาคตได้ ใจมันหวิวหวิว ดังนุ่นปลิวไกลจากหมอน นกไร้คานคอน เสียงโอยอ่อนขอสั่งลา แม้จะมีแต่ลมหายใจนิดหน่อยที่ยังเหลืออยู่ก็ตาม ก็ขอรวมรวมพลังที่มีกลั่นกรองเป็นความประโยคสั่งลาทุกคนในวันนี้ด้วย แม้จะลาจากไปไกลแสนไกล ด้วยกำลัง ด้วยดวงใจที่ขาดจุดหมาย เดียวดาย ไร้เพื่อน แต่ฉันก็ยังย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า “ฉันลาทุกคนครับ”
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553
คนคลั่งสถาบัน
หลายคนตำหนิคนที่หลงสำนัก คลั่งมหาลัย คลั่งสถาบัน แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วเห็นไปในทางที่ว่า พวกที่ตำหนิอย่างนั้น เขาคงมีเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งในใจเขา เหตุผลนั้น อาจเป็นโดยที่เขาแกล้งพูด ซึ่งไม่ใช่ความจริงใจของเขา แต่เขาต้องพูดออกไปเพื่อประโยชน์แก่ตัวเขาเองว่า ตนเองเป็นอิสระไม่มีพันธะกับใครๆ เพื่อมีทางที่จะหาประโยชน์ต่อไป ด้วยวิธีแสดงน้ำใจกว้างขวาง วางตัวเป็นพลโลก แต่ใจจริงของเขาก็รักสถาบัน คลั่งมหาลัย หลงสำนักเหมือนกัน หรือถ้าเกิดเขาพูดออกมาจากใจจริงว่าตามที่ใจต้องการ ก็แปลว่า เขาไม่ใช่มนุษย์ หรือศิษย์ที่จะให้ความเคารพนับถือ เขาเป็นคนอกตัญญู ขายสถาบัน ขายสำนัก ขายทุกๆ อย่างได้ แม้แต่สถานที่ที่ทำให้ตัวเขาเองมีความรู้ มีวันนี้ มีความคิด หรือมีทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ได้ เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง ถ้าท่านเจอคนแบบนี้ ท่านทั้งหลายกรุณาอย่าได้สมาคมด้วย หลีกพ้นให้ไกลๆ เถิดครับผม...ส่วนสำหรับตัวข้าพเจ้าแล้ว แม้จะแกล้งพูดก็ทำไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นโรคคลั่งสำนัก คลั่งสถาบัน มหาลัย อย่างไม่สามารถจะซ่อนเร้นได้ ใครที่รู้ปมด้อยของข้าพเจ้าอย่างนี้แล้ว เพียงแต่กล่าวยกย่องสำนัก สถาบัน มหาลัย และประเทศชาติ ที่ข้าพเจ้าอยู่อาศัย เรียน ศึกษา เท่านั้น ก็สามารถจะใช้ให้ข้าพเจ้าไปตายก็ได้นะครับ…
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553
เชื้อไวรัส กำจัดดวงใจข้า
“ไวรัส” เป็นชื่อของเชื้อโรค เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีใครปรารถนา หรือต้องการเลย เพราะขึ้นชื่อว่าเชื้อโรคแล้ว ย่อมเป็นตัวทำลายสิ่งต่างๆ ให้เกิดความย่อยยับออกไป...แต่มีใครเคยคิดบ้างไหมว่า ไวรัสนั้น มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี สิ่งที่ดี เช่น มีคนปล่อยไวรัสแห่งความดี ความขยัน ออกไป ย่อมเป็นที่ต้องการของคนทั้งหลาย แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีใครปล่อยไวรัสเชื้อโรคนั้น เชื้อโรคนี้ ยิ่งไวรัสเอสไอวี แล้วยิ่งไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ เอาเสียเลยนะ ...สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่า จะโดนไวรัสที่ร้ายแรงที่สุด เข้าแทรกซึม กัดกินตามจุดสำคัญต่างๆ หรือตัวเฟื่องที่สำคัญในร่างกายเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็น มันสมอง หัวใจ กระดูกไขสันหลัง เป็นต้น จนทำให้ตัวเฟื่องตัวเล็กๆ เกิดปัญหาอย่างมากในปัจจุบัน เช่น ทานข้าวได้น้อย นอนไม่ค่อยจะหลับ อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง เป็นต้น...ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงพยายามค้นหาชื่อไวรัสตัวนี้อยู่นานวันอยากรู่ว่า มันชื่ออะไร? มีอานุภาพร้ายแรงขนาดไหน? แต่พอได้พบ ได้รู้จัก ได้ศึกษา ได้เข้าใจถึงอานุภาพของมันแล้ว เห็นทีว่าข้าพเจ้าจะไม่รอดเป็นแน่เลย คุณคงอยากรู้ด้วยกับผมนะซิว่า ไวรัสตัวนี้มีชื่อว่า อะไร? ซ่ายไหม? บอกให้ก็ได้นะว่า มันชื่อว่า “ไวรัสรัก” ไงครับคุณ หวังว่าอานุภาพของมันคุณคงเห็น และเข้าใจดีแล้วนะว่ามันขนาดไหน อธิบายให้ผมฟังอีกก็ได้นะ ยินดีรับฟัง จะได้สบาย และตายไปก็ตายไปอย่างไม่กังวล หรือว่า “ตายตาหลับ” ว่างั้น คิกๆ
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553
เนื้อร้ายในใจข้าพเจ้า
ที่รักโปรดเข้าใจเถิดว่า…ไฟแม้น้อยนิดก็สามารถทำลายบ้านเรือน ป่าไม้ให้ย่อยยับได้ภายในเวลาชั่วพริบตา …อสรพิษ แม้ตัวน้อย ถ้าได้กัดแล้ว ย่อมสามารถล้มช้างที่บอกว่าตัวสูงใหญ่ได้ สามารถล้มคนที่องอาจ กล้าหาญได้ในไม่ช้า…เชื้อโรคน้อยนิดแค่หยดเดียว ยังสามารถทำลายอนาคต ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ย่อยยับได้…ขนาดน้ำหยดลงหินทุกวันคืน มีหรือหินนั้นจะไม่กร่อนไปได้….วันนี้ ข้าพเจ้าได้เข้าใจแน่ชัดถึงอานุภาพของสิ่งที่หลายคนบอกว่าน้อยนิดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น คือ เรื่องละครทีวีที่คนเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งเป็นเศษเสี้ยวของประเทศแสดง และว่าไปตามบทที่เขาเขียน หาได้มีเจตนาใดไม่ นอกเสียจากความสนุกสนาน ยังมีอิทธิพลทำให้คนทั้งประเทศเกิดการทะเลาะกันจนไม่สามารถจะร่วมงานกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการทูต การค้าขาย ธุรกิจต่างๆ เป็นต้น ได้อีก ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงให้ความสำคัญแก่สิ่งน้อยนิดให้ดี และยิ่งไปกว่านั้นถ้าสิ่งน้อยนิดนั้นเป็นความไม่ดี หรือความชั่วแล้ว ต้องรีบแก้ไขโดยด่วนนะครับ ก่อนที่จะเสียใจมากไปกว่านี้ สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ทั้งๆ ที่พยายามจะแก้ไขจุดเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่ยอมมองข้ามไปตลอดมา แต่ตอนนี้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั้นได้ก่อตัวขึ้นจนเป็นก้อนเนื้อเสียแล้ว เมื่อมาสำรวจดู ให้หมอตรวจดู เอกซเรย์ดูแล้วอย่างละเอียด จึงได้รู้ว่า “มันเป็นก้อนแห่งเนื้อร้าย และอยู่ในระยะที่สามเสียแล้วด้วย ฟังหมอบอกว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะหายขาดมีแค่ 30 % เท่านั้น” อย่างนี้ จะให้ข้าพเจ้าร้องบอกแก่ตัวเองว่าอย่างไรเหรอคุณที่รักทั้งหลาย...คุณรู้ไหมว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มากมายอะไร แค่คุยวันละนิด ถามวันละหน่อย เป็นห่วงกันและกันเท่านั้น ถ้าข้าพเจ้ารู้ว่ามันมีอานุภาพร้ายแรงขนาดนี้ ข้าพเจ้าคงจะไม่เป็นคนป่วยเช่นนี้ไปได้หรอกครับ จะอย่างไรก็ตามก็ได้โปรดสงสารคนไข้ผู้ใกล้วายชนม์คนนี้ด้วยนะครับผม
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553
โทรมาเถิดนะคนดี ใจพี่จะขาดรอน
เหล็กที่แข็งแกร่ง โดนไฟหลอมละลายแท่ง สีเหลืองแดง ค้อนทุบแรง ๆ ก็เปลี่ยนไป….คนผู้ยิ่งใหญ่ โดนความตายทำลายสิ้น แต่กลิ่นอายแห่งความยิ่งใหญ่ก็ไม่เคยจืดจาง ยังสถิตย์มั่นในจิตใจของเหล่าลูก หลาน เหลน ต่อมา…หลายคนวางทีท่าต่อคู่สนทนา เพื่อเสาะแสวงหาท่าทีหรือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเขาอย่างระมัดระวัง…ดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ย่อมเป็นที่วาดหวังของเหล่าภมร นก ผีเสื้อที่แรมรอนจรจากพรากลูก และรวงรัง เพื่อหาอาหาร ก่อนจะเก็บเป็นเครื่องบรรณาการแด่มิตรสหายและลูกน้อย ที่คอยอยู่อย่างสงบเสงี่ยมและเจียมตัว แต่อย่างไรก็ตาม พึงเข้าใจความจริงข้อหนึ่งของสิ่งทั้งหลายว่า สิ่งทั้งหลายย่อมเปลี่ยนไป ย่อมคลี่คลาย เสื่อมสลายไปในที่สิ้นสุด …ประดุจดังความรัก ความคิดถึงใครคนหนึ่งที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาเบ่งบานในจิตใจของข้าพเจ้า แล้วคลุกกรุ่นฝุ่นตลบอบอวลชวนให้เพ้อละเมอหา คู่สนทนาที่เคยพูดจากันอยู่เป็นประจำทุกวัน เมื่อคราเงียบหายไปโดยไม่ได้กล่าวขาน จนคนอย่างข้าที่บอกตัวเองว่าองอาจ กล้าหาญ ต้องประสานมือยก ขึ้นซูฮกให้แก่มัน (ความรัก) แล้วกล่าวอย่างหมดท่าว่า “ข้าพ่ายแพ้เจ้าแล้ว อย่าทรมานข้าเลย โปรดไปดลบันดาลใจให้เขาโทรหาข้าในเวลาอันใกล้นี้เถิดนะ”
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)